วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรียงความ “ประชาธิปไตยในโรงเรียน”

ประชาธิปไตยเป็นหนึ่งในระบอบการปกครองที่หลายๆประเทศนำมาใช้ในการปกครองประเทศของตน ซึ่งหมายถึงการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ มีรากศัพท์มาจากคำว่า ประชา กับ อธิปไตย คือประชาชนและอำนาจสูงสุด นั่นก็คือประชาชนมีอำนาจสูงสุด หรือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เมื่อเอ่ยถึงคำว่าประชาธิปไตยจะมีความรู้สึกตามมาทันทีคือ เป็นระบบการปกครองที่ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงในการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศโดยมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเพื่อทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทนตนในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อออกกฎหมาย แก้ปัญหาของสังคมประเทศชาติและเพื่อพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองซึ่งหนีไม่พ้นที่จะมีการจัดสรรทรัพยากรของชาติดังนั้นประชาธิปไตยจึงมีความหมายว่าประชาชนมีสิทธ์ในการปกครองตนเองเป็นระบอบการปกครองที่ตรงกันข้ามกับระบอบเผด็จการ
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสังคมที่บ่งชี้ถึงลักษณะความเสมอภาคและเท่าเทียมกันกล่าวคือ ปรัชญาเบื้องต้นของสังคมแบบประชาธิปไตย คือทุกคนในสังคมไม่ว่าจะมาจากเทือกเถาเหล่ากอใด มีฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินอย่างไร มีฐานะทางสังคมสูงหรือต่ำอย่างไร มีฐานะและตำแหน่งทางการเมืองหรือฐานะในราชการยิ่งใหญ่เพียงใด ย่อมเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันในทางการเมืองและกฎหมาย ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทุกคนในสังคมถ้าปฏิบัติตามกฎหมาย มีอาชีพสุจริตย่อมมีศักดิ์ศรีของความเป็นคนเท่าเทียมกันและมีสิทธ์เสรีภาพในด้านต่างๆภายใต้รัฐธรรมนูญเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการมีสิทธิ์เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการได้รับการปฏิบัติจากสังคมในฐานะสมาชิกของชุมชนเท่าเทียมกับสมาชิกคนอื่นๆ แต่ในทางความเป็นจริงคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความเลื่อมล้ำในสังคมย่อมจะยังมีอยู่ ความเสมอภาคที่กล่าวมาเป็นเรื่องของอุดมคติ การที่จะเห็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็น ร้อยๆ พันๆล้านมีความเสมอภาคกับผู้ใช้แรงงานก่อสร้างหรือลูกจ้างหาเช้ากินค่ำคงจะยากในความเป็นจริง แต่อย่างน้อยในแง่ของความเป็นคน ในแง่ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เศรษฐีผู้นั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกผู้ที่มีฐานะต้อยกว่าตนและผู้ใช้แรงงานนั้นก็มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง เลือกตั้งได้หนึ่งเสียงเช่นเดียวกับเศรษฐีเงินร้อยล้านพันล้าน ความเป็นเศรษฐีย่อมไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรในทางกฎหมายหรือในทางการเมือง คนในสังคมประชาธิปไตยที่อยู่ในฐานะต่ำสุด จะต้องสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์กล่าวคือมีปัจจัยสี่ คือมีอาหารพอกินมีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัยมียารักษาโรคและเข้ารับรักษาพยาบาลยามป่วยสิทธิเสรีภาพได้รับการประกันโดยรัฐธรรมนูญและการบังคับกฎหมายและย่อมมีโอกาสที่จะขยับชั้นในทางสังคมนั่นคือเปลี่ยนแปลงฐานะได้ถ้ามีความขยันขันแข็งและมีความสามารถ การให้โอกาสในการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในสังคมประชาธิปไตยต้องเป็นสังคมที่ทุกคนมีโอกาสเข้าศึกษาเล่าเรียนในแขนงวิชาต่างอย่างเต็มที่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดหรือมีการสนับสนุนด้วยทุนการศึกษา การศึกษาขั้นบังคับคือชั้นมัธยมและอาชีวะควรเป็นการศึกษาที่คนในสังคมโดยเฉพาะในกลุ่มที่จนที่สุดมีโอกาสเข้าศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเพราะการศึกษาคือบันไดในการไต่เต้าไปสู่การขยับชั้นทางสังคม ซึ่งต้องเปิดกว้างสำหรับทุกคน
โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้แก่เด็กนักเรียน เยาวชน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะเติบโตเป็นอนาคตของประเทศชาติ เมื่อเด็กนักเรียนเริ่มไปโรงเรียนก็จะพบและอยู่ด้วยกันในสังคมหมู่เหล่าซึ่งจะต้องมีกฎเกณฑ์ มารยาท กติกาต่างๆมากขึ้นเช่น การวางตัว การรักษาเวลา การรักษาทรัพย์สินส่วนตัว การรู้จักใช้ของร่วมกับผู้อื่น การรู้จักนั่งโดยสงบ การเข้าแถว ไม่ส่งเสียงดัง การร้องรำทำเพลง การจัดกิจกรรมร่วมกัน ในสังคมเผด็จการกิจกรรมเหล่านี้จะมีครูหรือผู้ใหญ่คอยสั่งและมีมาตรการทำโทษแต่ในสังคมประชาธิปไตยนักเรียนจะได้รับการชี้แนะและบอกแนวทาง โรงเรียนนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและชุมชน จึงมีบทบาทในการเตรียมความพร้อมผู้เยาว์ให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคม การสร้างลักษณะนิสัยนักเรียนรู้จักระเบียบข้อบังคับกฎเกณฑ์และกติกาตลอดจนรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ที่ตนพึงมีต่อหมู่คณะ ชุมชนและสังคมได้อย่างเหมาะสม ทางโรงเรียนจึงสมควรที่จะนำรูปแบบประชาธิปไตยมาใช้ในโรงเรียนเพื่อเป็นการปูพื้นฐานประชาธิปไตยให้ดีขึ้นแล้วรู้จักปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามภาระหน้าที่และมีวิถีชีวิตตามหลักประชาธิปไตยสามารถดำรงตนให้อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่จำเป็นต้องปลูกฝังแก่คนในชาติเพื่อก่อให้เกิดความมั่นคงแก่ระบอบประชาธิปไตย นักเรียน นักศึกษาเป็นเป้าหมายหลักที่ควรปลูกฝังให้มีความรู้พื้นฐานทางวิชาการและด้านอาชีพที่เหมาะสมตามวัย เป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โรงเรียนเป็นแหล่งปลูกฝังประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนเพราะโรงเรียนเป็นสถาบันที่มีหน้าที่ให้การศึกษาทางการเมืองการปกครองได้มากกว่าสถาบันอื่นๆและได้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เข้าไปมีบทบาท ปฏิบัติตามแนวทางที่สะสมมาเพื่อให้การปลูกฝังและส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเกิดผลอย่างจริงจังในปัจจุบันสถานศึกษาก็มีการบริหารจัดการศึกษาให้กับนักเรียนเหมือนกับการปกครองประเทศแต่เป็นการปกครองในรูปแบบที่เล็กกว่าแต่พื้นฐานการปกครองก็เป็นไปในรูปแบบเดียวกันกับการปกครองแบบประชาธิปไตย สถานศึกษาต้องประกอบด้วยบุคลากรสำคัญคือ ครู นักเรียน นักการภารโรง เป็นต้น วิถีชีวิตประชาธิปไตยในสถานศึกษาต้องคำนึงถึงคุณลักษณะประชาธิปไตยในการเคารพในกฎระเบียบของสถานศึกษาแสดงความคิดเห็นยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นและลงมติโดยยึดถึงเสียงข้างมากในการปกครอง
ข้าพเจ้าคิดว่าการที่เราจะให้นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับประธิปไตยที่ดีเราต้องเริ่มที่ครอบครัวซึ่งโดยให้ผู้ปกครองเป็นผู้ที่คอยปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเด็กและพอโตมาก็ให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนในการอบรม บ่มนิสัยให้กับนักเรียนในด้านของประชาธิปไตยเป็นลำดับต่อไปเพื่อให้นักเรียนเป็นบุคคลที่มีศักยภาพในด้านของประชาธิปไตยและเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตประจำวันของนักเรียนเองและคอยปลุกฝังบุคลิกภาพให้นักเรียนในโรงเรียน ด้วยกันฝึกให้นักเรียนรู้หน้าที่ รู้จักช่วยเหลือตนเองและรู้จักแสดงความรักความห่วงใย จะช่วยให้เด็กเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น ยินดีทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เป็นการหล่อหลอมจิตใจให้เป็นประชาธิปไตย ชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประสานความร่วมมือให้นักเรียนมีกระบวนทางประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น การจัดกิจกรรมวันต่อต้านยาเสพติด, สัปดาห์สิ่งแวดล้อม, วันสุนทรภู่ สัปดาห์วิทยาศาสตร์ กิจกรรมเทิดพระเกียรติ5ธันวาคม และ12สิงหาคม กิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ จัดกิจกรรมให้นักเรียนและฝึกให้นักเรียนฝึกปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน ยอมรับฟังในความคิดเห็นของผู้อื่น การเลือกประธานโรงเรียน ประธานกลุ่มสี ประธานห้อง โดยทุกคนมีสิทธิ์ในการออกเสียงลงคะแนนและยอมรับในเสียงส่วนมากและไม่มองข้างในเสียงส่วนน้อย กิจกรรมการเลือกตั้งนั้นเป็นกิจกรรมที่สำคัญในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนจึงต้องพัฒนาให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนด เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักและมีจิตสำนึกในการปกครองระบอบประชาธิปไตยตลอดจนการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดซึ่งนักเรียนจะได้พบกับโลกแห่งความจริงเพราะจะช่วยฝึกฝนให้มีทักษะในเรื่องของกระบวนการกลุ่ม การทำงานร่วมกันเป็นทีม การฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี การเคารพความคิดเห็นผู้อื่น การให้การยอมรับและการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เข้าใจในเรื่องสิทธิหน้าที่ต่างๆ นอกจากจัดให้นักเรียนแล้ว ประชาชนทุกคนต้องมีขันติธรรมกล่าวคือสมาชิกในสังคมประชาธิปไตยจะต้องมีความอดกลั้น อดทนอย่างยิ่ง ต้องสามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่ไม่ตรงกับความคิดเห็นของตนได้ ต้องรอฟังความคิดเห็นส่วนใหญ่จากบรรดาผู้เกี่ยวข้องในการที่จะดำเนินการหรือแก้ปัญหาใดๆที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งต้องทนต่อสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นตามความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้ กระบวนการประชาธิปไตยจึงต้องอาศัยเวลาต้องค่อยเป็นค่อยไปและต้องมีการกระทำอย่างต่อเนื่องสมาชิกในสังคมนี้จึงจะต้องได้รับการปลุกฝังคุณสมบัติดังกล่าวตั้งแต่เยาว์วัยและพัฒนาขึ้นตามลำดับ และดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมหมู่มาก เพราะสังคมอันเป็นส่วนร่วมของทุกคน ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่ทำประโยชน์ให้เป็นการตอบแทน โดยการมีทัศนะคติที่ดีต่อผู้อื่นยอมรับตามความคิดเห็นของผู้อื่น เคารพในศักดิ์ของความเป็นมนุษย์นอกจากจะยึดถือประชาธิปไตยเป็นแบบการปกครองแล้วยังต้องยึดเอาประชาธิปไตยไว้ในฐานะที่เป็นวิถีทางแห่งชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญาความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขให้แก่นักเรียนก่อนที่จะออกไปประกอบอาชีพและแสดงบทบาททางการเมืองและการดำรงชีวิตของตนเองและครอบครัวแบบประชาธิปไตยและการพัฒนาประเทศชาติให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
ในสถานศึกษานั้นเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดประกายในการปลุกฝังให้นักเรียนมีจิตใจเป็นประชาธิปไตยเพราะประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบการปกครองหนึ่งที่มีผลดีหลายๆด้านที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุคลากรในสังคมหรือชุมชนจะให้ความสำคัญและเล็งเห็นถึงคุณค่าของคำว่าประชาธิปไตยการที่จะให้คนในชุมชนมีจิตใจเป็นประชาธิปไตยจะต้องมีการปลูกฝังและฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็กดังสุภาษิตที่ว่า “ไม้อ่อนหักง่าย ไม้แก่หักยาก”

ความเรียงเรื่อง “พ่อ”

ความเรียงเรื่อง “พ่อ”
“พ่อ” คือผู้ให้กำเนิดเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ พ่อเลี้ยงลูกมาตั้งแต่ยังเล็กจวบจนลูกเติบใหญ่ พ่อเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อครอบครัว สังคมประเทศชาติ คำว่าพ่อถึงแม้จะเป็นเพียงคำสั้นๆ พยางค์เดียวแต่มีคุณค่ามหาศาลไม่อาจนำไปเปรียบกับสิ่งมีค่าใดในโลกนี้ได้ พ่อต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่อย่างสุขสบาย ยอมสละความสุขส่วนตัวทำงานชนิดหามรุ่งหามค่ำเพื่อลูกๆมีความสุข นับตั้งแต่จำความได้ก็มีพ่อคอยสั่งสอนแนะนำตลอดเวลา คอยหยิบยื่นสิ่งดีๆให้ แม้ยามทุกข์พ่อนั่นแหละที่สอนให้เราเข้มแข็ง ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จนถึงในวันนี้เราเกิดมาเป็นลูกๆของพ่อ เป็นตัวตนแห่งเราซึ่งได้เกิดและหล่อหลอมมาด้วยพระคุณของผู้ที่ขึ้นชื่อว่า พ่อ
พระคุณของพ่อนั้นลูก ไม่อาจจะตอบแทนได้ง่ายดายนัก ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าว ป้อนน้ำ และให้ท่านอุจจาระ ปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง100ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านยังไม่ได้ เพราะท่านเป็นผู้ให้ความอุปการะเลี้ยงดูลูก ฟูมฟัก ทะนุถนอมอบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท มีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีสิ้นสุด หวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้งลูก เมื่อลูกมีความสุขสบายท่านก็มีความปลาบปลื้มยินดีไปด้วยความจริงใจ พ่อนั้นทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้ดีและมีความสุข
สำหรับผมแล้วนอกจากมีพ่อที่ให้กำเนิดแล้ว ยังมีพ่ออีกคนหนึ่งซึ่งผมมีความชื่นชมและประทับใจ ตั้งแต่ที่จำความได้ก็ได้ยินชื่อของพ่อคนนี้เสมอ และคนหลายๆยังพูดถึงกันบ่อยๆให้การเคารพนับถือ พ่อที่ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียแม้แต่ครั้งเดียว เสียสละ แรงกาย แรงใจ เพื่อให้คนอื่นมีความสุข เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกๆคนและยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ที่สำคัญคนไทยทุกๆคนจะรักพ่อมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพ่อคือใครนั่นก็คือ พระมหากษัตริย์ พ่อของคนไทยทุกคนผู้ซึ่งมีความรักและห่วงใยประชาชนชาวไทยมากที่สุด ในทุกๆพื้นที่ ที่ห่างไกลความเจริญพ่อจะเดินทางไปเพื่อให้การแนะนำ หน่วยงาน ในการพัฒนาพื้นที่ทุรกันดารเหล่านั้น พ่อมีความรู้ความสามารถยากที่จะหาผู้ใดเทียบเท่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดนตรี กีฬา ภาษา เป็นต้น ยามเกิดภาวะแห้งแล้งไม่มีฝนตก พ่อก็มีโครงการฝนเทียมและการจัดเตรียมรับมือภัยธรรมชาติต่างๆ พ่อได้ชี้แนะให้คำแนะนำจนประสบความสำเร็จหรือแม้ในขณะนี้ในสภาวะน้ำมันแพง พ่อก็ได้จัดให้มีการคิดค้นพลังงานทดแทนจากน้ำมันปาล์มและแอลกอฮอล์ช่วยให้คนไทยมีน้ำมันใช้ ไม่เคยเห็นพ่อเหนื่อยหรือหยุดพัก ซึ่งภารกิจต่างๆที่พ่อได้ทำในแต่ละวันนั้นล้วนก่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดแก่ส่วนรวมและประเทศชาติ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนน้อยที่พ่อได้ทำทั้งหมด พระคุณของพ่อนั้นมากมายไม่อาจหาที่เปรียบได้จริงๆ
ผมเคารพในตัวพ่อมาก วันที่5ธันวาคมเป็นวันคล้ายวันเกิดของพ่อและยังเป็นวันพ่อแห่งชาติด้วย ถึงแม้ว่าผมจะเป็นแค่เด็กดอยคนหนึ่งที่ไม่เคยมีโอกาสดีๆอย่างใคร แต่ก็ยังมีโอกาสร่วมใจกัน จุกเทียนและร้องเพลงเพื่อสรรเสริญให้พ่อมีอายุที่ยืนนาน แสงเทียนและเสียงเพลงของชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นที่ใดของประเทศไทย ถูกจุดและร้องขึ้นพร้อมๆกันเพื่อแสดงความรักที่เรามีต่อพ่อ เพราะเราคือคนไทย คือลูกของพ่อ มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ เป็นคนๆหนึ่งในแผ่นดินของพ่อ ไม่ว่าจะอยู่ใดจะรักและเทิดทูนพ่อตลอดไป จะเป็นคนดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี เพื่อพ่อและสังคมประเทศชาติจะกตัญญูต่อพ่อตลอดไป
พ่อคือร่มไทรทองปกป้องลูก พ่อพันผูกชี้นำคำสั่งสอน
ลูกเคารพอบอุ่นคุณบิดร ลูกกำจรเกียรติ์แพร่เพราะพ่อดี
ไทยมีธรรมนำชาติราชคุ้มราษฏร์ สงฆ์คุ้มศาสน์เสริมส่งธำรงศรี
พ่อคุ้มลูกถูกขั้นตอนสอนทำดี ชาติย่อมมีแต่สุขสมสังคมเจริญ

เรียงความ ชุมชนแห่งความพอเพียง

ชุมชนแห่งความพอเพียง
ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีระบบภูมิคุ้มกันในตนเอง ซึ่งเกิดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน โดยจะต้องอาศัยความรอบรู้ และความรอบคอบ และความระมัดระวัง สิ่งเหล่านี้คืออะไร หลายๆท่า น คงพอที่จะนึกออก ใช่แล้วครับสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ก็คือหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการดำรงชีวิตและข้อปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศและระบบเศรษฐกิจให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์
การปฏิบัติตนตามแนวพระราชดำรัสหรือดำเนินวิถีชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ควรดำเนินชีวิตโดยทางสายกลาง คือยึดความประหยัด มีน้อยควรใช้แต่น้อย ใช้จ่ายด้วยความระมัดระวัง ลดละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีวิตอย่างจริงจัง ดังพระราชดำรัสว่า “ ความเป็นอยู่ ที่ไม่ฟุ้งเฟ้อต้องประหยัดในทางที่ถูกต้องและความเจริญของคนทั้งหลาย ย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบและการหาเลี่ยงชีพของตนเองเป็นหลักสำคัญ....”
การยึดถือ การประกอบอาชีพด้วยความสุจริต การละเลิก การแก่งแย่งผลประโยชน์ในทาง
เศรษฐกิจ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราจะดำเนินตามแนวพระราชดำรัสของพระองค์ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรที่จะหยุดนิ่งที่จะหาแนวทางทำให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ต้องขวนขวายหาความรู้ ให้ก้าวทันโลก ทันเหตุการณ์ เพื่อสร้างตนเองให้มีความมั่นคง มีความก้าวหน้าและมีความสุข
ที่สำคัญ ทุกคนควรปฏิบัติตนโดยการ ลด ละ สิ่งยั่วกิเลสให้หมดสิ้นไป ซึ่งต้องพยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเครื่องทำลายตัว ทำลายผู้อื่น สร้างความดีให้เกิดแก่ตนเองอยู่เสมอ หมั่นรักษา และเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่นั้นให้งอกงามและต้องรู้จักคำว่า พอ สร้างความพอดีให้กับตนเองแล้วจะพบกับความสุข
หลักการขั้นต้นนี้ทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ การปฏิบัติตนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นต้องเริ่มจากตนเองก่อน ใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิต ไม่ยึดวัตถุเป็นที่ตั้ง รู้รักสามัคคี ใช้สติปัญญาปกป้องตนเอง ไม่ให้หลงกระแสสิ่งยั่วยุ โดยไม่รู้ถึงเหตุและผล รู้จักแยกแยะสิ่งดี สิ่งไม่ดี ตามสภาพความเป็นจริงขงสังคมไทย ถ้าทุกคนปฏิบัติได้ดังนี้ สังคมไทยก็จะน่าอยู่ และหากทุกคนมีความเมตตาบวกกับพลังความสามัคคี ร่วมกันขจัดข้อขัดแย้ง นำไปสู้ความประนีประนอม รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งจะทำให้ชาติไทยคืนสู่ความเป็นไทยและอยู่อย่างร่วมเย็น
นับได้ว่านั่นคือความโชคดีของปวงชนชาวไทยที่มีพ่อของแผ่นดิน ที่ทรงมีพระอัฉริยะภาพ และพระปรีชาสามารถ ท่านทรงนำประสบการณ์จากการทรงงานหลักมากว่า ครึ่งศตวรรษ เพื่อมาวิเคราะห์ คิดค้น และดัดแปลง เป็นแนวทางขจัดปัญหาต่างๆ ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยยึดหลักความเรียนง่ายที่มุ่งเน้นความสมเหตุสมผล สามารถแก้ปัญหาได้จริง เพื่อเป็นการสนองพระราชดำริและการช่วยเหลือประเทศชาติ เราทุกคน ควรดำเนินชีวิต ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามรอยเท้าพ่อ เพื่อแผ่นดินไทยกลับมาสู่ความร่วมเย็นและความเป็นไทยแท้อย่างสมบูรณ์